จักรพงษ์ ระบุว่า ตามนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตั้งแต่ได้ร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ ๗๘ (78th Session of the United Nations General Assembly) ครั้งแรกปีที่แล้ว ได้ประกาศให้ทั่วโลกได้รับทราบแล้วว่าประเทศไทยได้เปิดแล้วเพื่อให้มีการค้าการลงทุน
ซึ่ง UAE ถือเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยในภูมิภาคนี้ มีมูลค่าการขายที่ 19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือว่ามีความสำคัญที่สุดในภูมิภาคนี้ และการเดินทางมาในครั้งนี้เป้าหมายหลักก็คือ FTA ที่เราอยากจะมีกับทาง UAE ตรงนี้จะเป็นการส่งเสริมการลงทุน ระหว่างกันให้มากขึ้น และการที่จะมีการค้าการขายเพิ่มขึ้นในส่วนนี้ก็จะมีการเพิ่มมูลค่าจาก 19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะดูจากย้อนหลังทุกๆปีการค้าไทย กับ UAE มีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปี จึงให้ความสำคัญตรงนี้
ส่วนความสำคัญในด้านอื่นไทยและUAE จะมีความสัมพันธ์ครบ 50 ปีในปี 2568 ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด ทั้งการค้า การลงทุน วัฒนธรรมการแลกเปลี่ยน การเยือนระดับสูง
นอกจากนี้ ปี 2566 มีนักท่องเที่ยวจาก UAE มาท่องเที่ยวในประเทศไทยเกือบ 200,000 คน ถือว่าเป็นจำนวนมาก หากเทียบกับจำนวนประชากรของเขาแล้ว และมี direct flight ต่อวันประมาณ 5 ไฟล์ท ถือว่าเป็นฮับหนึ่งของภูมิภาคนี้ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ประกาศไปในเรื่องของ “AVIATION HUB” ซึ่งหากไทยเป็น Aviation Hub ได้ในภูมิภาคได้ จะสามารถเชื่อมโยงกับ UAE ได้มากขึ้น ดังนั้นจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับภาคเอกชนของไทยที่จะทำธุรกิจในโซนนี้
นายจักรพงษ์ ยืนยันว่าวีซ่าฟรีสำหรับคนไทย ที่จะเข้า UAE เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณา เพราะเป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาลอยู่แล้วในการเพิ่ม Power ให้กับพาสปอร์ตของไทย ซึ่งเรื่องนี้จะต้องมีการหยิบยกขึ้นมาคุยกับทาง UAE เพื่อที่จะได้มีการเปิดวีซ่าฟรีอย่างเป็นการถาวรซึ่งกันและกัน แต่ยอมรับว่าต้องใช้เวลา เพราะต้องมีการดูรายละเอียดในหลาย ๆ เรื่องซึ่งต้องมีการคุยกันตลอด
ขอบคุณข่าวจาก topnewsonline
topnews.co.th