อดีตเลขาฯสมช. ชี้ส.ว.ใกล้สิ้นสภาพ ฐานอำนาจขั้วเก่าถึงจุดเปลี่ยน แนะพท.เรียกศรัทธาคืน
เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองว่า คำพูดที่ว่า ’ต่างคนต่างอยู่’ นัยในทางการเมืองแสดงถึงความเชื่อมั่นว่า ตราบใดที่เราอาสามาปฏิบัติหน้าที่ด้วยการรักษาคำมั่นสัญญา จะมีประชาชนหนุนหลังให้อยู่รอดปลอดภัยเสมอ
สถานการณ์การเมืองเดินมาถึงจุดที่สังคมเชื่อว่า ดีลลับทางการเมืองมีจริง เพื่อให้เกิดรัฐบาลข้ามขั้ว ซึ่งขณะเดียวกันนั้นประชาชนก็ฉลาดมองภาพฉากทัศน์ที่ผ่านมาและสรุปความได้ว่า เหตุปัจจัยลึกๆที่ประสงค์ให้เกิดรัฐบาลข้ามขั้ว และมีพลังให้เกิดความสำเร็จนั้นมาจากปัจจัยหลัก 2 ประการคือ
1) กลุ่มทุนใหญ่อภิสิทธิ์ชนที่ครอบงำรัฐบาลอำนาจเก่า กลัวการสร้างความเสมอภาค ได้สยายปีกเข้ามาครอบงำรัฐบาลใหม่เบ็ดเสร็จ เพื่อผูกขาดผลประโยชน์ของตนและพวกพ้องได้ต่อไป
และ 2) กลุ่มรัฐบาลอำนาจเก่าไม่ยินยอมให้กลุ่มการเมืองใหม่เข้ามาเป็นรัฐบาล เพราะกลัวว่าจะมาเช็กบิลย้อนหลังเรื่องที่พวกตนได้ก่อกรรมไว้กับบ้านเมือง อาทิ 9 ปี ก่อหนี้ 10 ล้านล้านบาท ทิ้งเป็นภาระไว้ ซื้อขายตำแหน่งข้าราชการ ยาเสพติดการพนันออนไลน์ เจ้าหน้าที่เรียกเก็บส่วยเต็มเมือง
ซึ่งการดำเนินการ ให้บรรลุผลตามเหตุปัจจัย ก็คือต้องแยกพรรคเพื่อไทย กับพรรคก้าวไกลออกจากกันให้ได้ กลุ่มอำนาจเก่า จึงล็อกนายใหญ่ เป็นตัวประกันบังคับวิถีพรรคเพื่อไทยให้แยกตัวออกมา
การเรียกศรัทธาคืนของพรรคเพื่อไทย พร้อมกับการพาประเทศออกจากวงจรอุบาทว์ คือต้องกล้าหาญทำตรงกันข้ามกับเหตุปัจจัยที่กล่าวมา ด้วยการยึดเกียรติยศ และใช้สติปัญญาแสวงความลงตัวจับมือกับ พรรคก้าวไกล ทำตามสัญญาประชาคมที่ให้ไว้กับประชาชน ในขณะเดียวกันมันก็คือ การล้มดีลลับกับขั้วอำนาจเก่าไปในตัว จึงมิอาจหลีกเลี่ยงการประลองกำลังรุนแรงในภายหลังได้
แต่ 2 พรรคการเมือง มีประชาชน 25 ล้านเสียงเป็นภูมิคุ้มกันหนุนหลัง จะยื้อเวลากับอำนาจเก่าไว้ได้ และเมื่อส.ว.ฐานอำนาจของกลุ่มอำนาจเก่าสิ้นสภาพลงในวันที่ 10 พฤษภาคม เมื่อนั้น 2 พรรคมีความชอบธรรมที่จะใช้อำนาจทางการบริหารและนิติบัญญัติคืนความเป็นธรรมให้กับตัวเองและสังคมไทยได้โดยถ้วนหน้า
ขอบคุณข่าวจาก มติชนออนไลน์
matichon.co.th