“ปานปรีย์-พีระพันธุ์” ย้ำชัด “เกาะกูด” เป็นของไทย ไม่ยกให้ใครทั้งสิ้น ลั่นไม่มีวันเอาผลประโยชน์ชาติแลกดินแดน

วันที่ 25 มี.ค. ที่รัฐสภา ในการประชุม สว. วาระการเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภา เพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริง หรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน โดยไม่มีการลงมติ ตามมาตรา 153 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนครีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ว่า เกิดขึ้นมาช้านานแล้ว เริ่มมาตั้งแต่ ปี 2513 เรื่องแบ่งเขตไหล่ทวีป กัมพูชาเริ่มก่อน ปี 2515 ส่วนไทยกำหนดไหล่ทวีป ปี 2516

เมื่อมีการตกลงเรื่อง MOU 2544 รัฐบาลที่ผ่านมา ก็อนุมัติบนพื้นฐานการเจรจาด้วย MOU 2544 แต่ทำไม่สำเร็จ เพราะมีเรื่องขุมทรัพย์พลังงานมหาศาลและผลประโยชน์เรื่องดินแดน ซึ่งมีการเจรจาอีกหลายครั้ง แต่ไม่มีความคืบหน้า

นายกฯกัมพูชา ได้มาเยือนไทย เห็นพ้องใช้ประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนคู่กัน พร้อมแบ่งเขตแดน ตนเห็นด้วยเจรจาควบคู่กันทั้งเขตแดน และผลประโยชน์ทางทะเล

นายปานปรีย์ กล่าวต่อว่า เกาะกูดเป็นของประเทศไทย การแบ่งเขตไหล่ทวีป ก็ต้องแบ่งให้ชัดว่าเป็นของใคร รวมทั้งสิ่งก่อสร้างชายฝั่งทะเล หลักเขต 73 มีการดำเนินการรื้อถอนไปส่วนหนึ่งแล้ว

“ยืนยัน พวกเรารักชาติเท่ากันหมด ไม่มีใครคิดเอาชาติหรือดินแดนของไทย ยกให้ใครทั้งสิ้น เรื่องนี้ต้องเจรจาและนำเข้า ครม.“

ด้าน นายคำนูณ สิทธิสมาน สว. กล่าวว่า กราบขอบพระคุณ และพอใจในคำชี้แจงของ รมว.ต่างประเทศ บางส่วน ติดใจเรื่องเดียว คือคำปาฐกถาของ นายกฯ เรื่องจะแยกเจรจา ขอฝากไปถึงท่านนายกฯ ด้วยครับ ยืนยัน ต้องเจรจาไปพร้อมกันไม่สามารถแยกกันได้ คำเป็นสิ่งสำคัญ นายกฯ เป็นผู้นำประเทศ ไม่ควรพูดแบบนั้น

 

จากนั้น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ลุกขึ้นอภิปรายยืนยันว่า ตนไม่ตั้งใจจะลุกขึ้นมาพูด เพราะเป็นปัญหาเส้นเขตแดน ไม่ได้เกี่ยวกับตําแหน่งของตน

“ยืนยันว่า รัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีต่างประเทศ นายกฯ เราทุกคนรักประเทศไทย และเราก็ห่วงดินแดนไทย ท่านไม่ต้องห่วง จะไม่มีวันเอาทรัพยากรชาติมาแลกกับเส้นเขตแดน ผลประโยชน์ของชาติ ความเป็นไทย อาณาเขตประเทศไทย เป็นยังไงต้องเป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรสําคัญกว่าความเป็นไทยเอกราช และอาณาเขตของชาติไทย”

 

 

ขอบคุณข่าวจาก topnewsonline
topnews.co.th