สำหรับมือใหม่ฝึกดำน้ำ สิ่งสำคัญคือ ต้องเริ่มต้นด้วยการเรียนรู้พื้นฐานเรื่องสุขภาพ การเลือกสถาบันที่ได้มาตรฐาน (เช่น PADI, SSI) เพื่อเรียนหลักสูตร Open Water Diver ซึ่งจะสอนทฤษฎีและฝึกปฏิบัติในสระก่อนออกทะเลจริง โดยเน้นการควบคุมการหายใจและการใช้อุปกรณ์อย่างปลอดภัย ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3-4 วัน และไม่จำเป็นต้องว่ายน้ำเก่ง แต่ต้องสบายใจกับน้ำและว่ายน้ำได้ในระดับหนึ่ง.

ขั้นตอนสำหรับมือใหม่

 

  • 1. เรียนหลักสูตรเริ่มต้น (Try Dive / Discover Scuba Diving): ถ้าคุณยังไม่แน่ใจว่าจะชอบหรือไม่ ลองไปหลักสูตรแบบวันเดียวที่เรียกว่า Try Dive หรือ Discover Scuba Diving (DSD) ก่อนได้ค่ะ หลักสูตรนี้จะพาคุณลงไปสัมผัสโลกใต้ทะเลภายใต้การดูแลของครูฝึกอย่างใกล้ชิด

  • 2. ใบรับรอง Open Water Diver (OWD): นี่คือหลักสูตรมาตรฐานสากลที่คุณต้องเรียนเพื่อที่จะได้ใบอนุญาตดำน้ำ หลักสูตรนี้มักใช้เวลา 3-4 วัน โดยจะประกอบด้วย:

    • ทฤษฎี (Knowledge Development): เรียนรู้หลักการดำน้ำที่สำคัญ

    • ฝึกในสระน้ำ (Confined Water Dives): ฝึกทักษะพื้นฐานในสระหรือบริเวณน้ำตื้น

    • ดำน้ำในทะเล (Open Water Dives): ออกไปดำน้ำในทะเลจริง 4 ครั้ง

  • 3. เลือกองค์กรฝึกอบรม: มีหลายองค์กรที่ให้ใบรับรองดำน้ำที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก เช่น PADI, SSI, CMAS เป็นต้น ส่วนใหญ่แล้วนักดำน้ำมือใหม่มักจะเลือกเรียน PADI หรือ SSI ค่ะ

  • 4. เลือกโรงเรียน/ศูนย์ดำน้ำ (Dive Center): เลือกโรงเรียนดำน้ำที่ได้มาตรฐาน มีอุปกรณ์ที่พร้อมและครูฝึกที่มีประสบการณ์ที่คุณรู้สึกสบายใจที่จะเรียนด้วย

  • 5. สถานที่ฝึกดำน้ำ: ในประเทศไทยมีจุดฝึกดำน้ำยอดนิยมหลายแห่ง เช่น สัตหีบ (สำหรับฝึกในสระหรือน้ำตื้นใกล้ๆ), เกาะเต่า, เกาะสมุย, ภูเก็ต, หมู่เกาะสิมิลัน ฯลฯ

💡 เคล็ดลับเพิ่มเติม

  • สุขภาพ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับปอดหรือหู

  • การว่ายน้ำ: ถึงแม้ว่าคุณจะว่ายน้ำไม่เก่งมากก็สามารถดำน้ำได้ แต่การว่ายน้ำเป็นพื้นฐานที่ดีและทำให้คุณรู้สึกมั่นใจมากขึ้น

  • อุปกรณ์: ในช่วงแรกศูนย์ดำน้ำจะมีอุปกรณ์ให้เช่า ไม่จำเป็นต้องซื้อเองทันที

 

แนะนำสถานที่ฝึกดำน้ำยอดนิยมในไทย

  • 1. เกาะเต่า (Ko Tao):

    • จุดเด่น: เป็นศูนย์กลางการฝึกดำน้ำที่มีชื่อเสียงระดับโลก ราคาหลักสูตรมักจะไม่แพงเท่าที่อื่น มีโรงเรียนดำน้ำให้เลือกมากมาย และเป็นแหล่งที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางทะเลเหมาะสมสำหรับมือใหม่

    • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการเรียน Open Water Diver ในบรรยากาศที่คึกคักและราคาย่อมเยา

  • 2. ภูเก็ต และ เกาะพีพี (Phuket & Ko Phi Phi):

    • จุดเด่น: สามารถเดินทางไปยังแหล่งดำน้ำสำคัญหลายแห่ง เช่น เกาะห้า, หินมูสัง มีความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลสูง เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวขนาดใหญ่

    • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายในการเดินทางและเลือกที่จะเรียนจากศูนย์ดำน้ำที่มีมาตรฐานสูง

  • 3. สัตหีบ (Sattahip – ชลบุรี):

    • จุดเด่น: เดินทางง่ายจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล มักใช้เป็นสถานที่สำหรับฝึกภาคสระ/น้ำตื้น หรือหลักสูตรเบื้องต้น

    • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการฝึกภาคทฤษฎี/สระก่อน และยังไม่ต้องการไปค้างคืนที่เกาะ

  • 4. เกาะช้าง (Ko Chang – ตราด):

    • จุดเด่น: เป็นอีกทางเลือกที่ไม่ค่อยแออัดเท่าเกาะเต่า มีซากเรือจม (สำหรับนักดำน้ำขั้นสูง) และจุดดำน้ำที่สวยงาม

    • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่อยากได้บรรยากาศสงบ และอยู่ใกล้ชายฝั่งทะเลตะวันออก

       การรู้ราคากลางจะช่วยให้คุณวางแผนและเลือกโรงเรียนดำน้ำได้เหมาะสมกับงบประมาณ

สำหรับหลักสูตร Open Water Diver (OWD) ในประเทศไทย ซึ่งเป็นหลักสูตรเบื้องต้นที่ใช้เวลาประมาณ 3-4 วัน ราคาทั่วไปจะอยู่ในช่วง 9,000 – 16,000 บาท ค่ะ

💰 การเปรียบเทียบราคาตามสถานที่

ราคาจะแตกต่างกันไปตามสถานที่ องค์กรที่ให้การรับรอง (เช่น PADI, SSI) และสิ่งที่รวมอยู่ในแพ็กเกจ:

สถานที่ ราคากลาง (โดยประมาณ) หมายเหตุสำคัญ
เกาะเต่า 9,000 – 13,000 บาท ราคาค่อนข้างต่ำที่สุด แข่งขันสูง หลายแพ็กเกจรวมที่พักด้วย แต่ต้องออกค่าเดินทางไป-กลับเกาะเต่าเอง
ภูเก็ต/พัทยา/เกาะช้าง 12,000 – 16,000 บาท ราคาสูงกว่าเกาะเต่าเล็กน้อย มักเป็นคอร์สที่เน้นคุณภาพสูงหรือศูนย์ใหญ่
สัตหีบ/กรุงเทพฯ 8,500 – 15,000 บาท ถ้าเรียนทฤษฎี/สระในกรุงเทพฯ และออกทะเลที่สัตหีบ (ใกล้กรุงเทพฯ) มักจะมีราคาแยกกันระหว่างภาคเรียนกับค่าเรือ/ออกสอบทะเล