ประธาน กกต.เผยยอดผู้สมัคร สว.ราวแสนคน เปิดไทม์ไลน์เลือกตั้ง รู้ผล ก.ค.67

เมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2567 ที่ห้องประชุม 201 ชั้น 2 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคารบี) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กทม. สำนักงาน กกต.จัดประชุมให้ความรู้แก่สื่อมวลชนในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) “สาระรอบรู้เรื่อง สว. ปี 67”

โดยนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมให้ความรู้แก่สื่อมวลชนในการเลือก สว. พร้อมทั้งกล่าวถึงเกี่ยวกับแนวทางและการบูรณาการความร่วมมือในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการเลือก สว. ตอนหนึ่งว่า การเลือก สว.ไม่ได้ครั้งแรก ตอนปี 2561 จัดการเลือกแบบบทเฉพาะกาล มีการเลือกกันเองรอบเดียว เลือก 10 กลุ่มอาชีพ ยุบรวมจาก 20 กลุ่มอาชีพ แต่ครั้งนี้เป็นการเลือก สว.เต็มรูปแบบตาม พ.ร.บ.การได้มาซึ่ง สว. กำหนดไว้ เป็นการผู้สมัครเลือกกันเอง เลือก 3 ระดับ อำเภอ จังหวัด ประเทศ

นายอิทธิพร กล่าวว่า วาระ สว.สิ้นสุด 10 พ.ค. 2567 เมื่อไหร่ก็ตามมี พ.ร.ฎ.เลือก สว.ลงมา อีก 15 วันนับจากนั้นจะมีการรับสมัคร สว. ต่อจากนั้นอีก 5 วันประกาศรายชื่อผู้สมัคร เมื่อปิดรับสมัคร ไม่เกิน 20 วันจะต้องมีการเลือกระดับอำเภอ หลังจากนั้นอีก 7 วัน เลือกระดับจังหวัด หลังจากนั้นอีก 10 วัน ถึงมีการเลือกระดับประเทศ คาดว่ารู้ผลในเดือน ก.ค. 2567 เมื่อรู้ผลแล้ว ให้ กกต.รอไว้ก่อน 5 วัน เผื่อมีประเด็นทบทวน แล้วจึงประกาศผล

“ฝากผู้สมัครศึกษาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามให้ดี รวมถึงดูกลุ่มอาชีพให้ดี เพื่อป้องกันความผิดพลาด ให้มีการสมัครให้ถูกกลุ่ม นอกจากนี้อยากให้ศึกษารูปแบบ หลักเกณฑ์วิธีการ และบทกำหนดโทษตาม พ.ร.บ.ได้มาซึ่ง สว. หากมีข้อสงสัย หรือต้องการข้อมูล สามารถสอบถามได้ ทั้งจากสำนักงาน กกต.ประจำจังหวัดต่าง ๆ” นายอิทธิพร กล่าว

ประธาน กกต. กล่าวด้วยว่า คาดว่าผู้สมัครราว 1 แสนคนโดยประมาณ ไม่น่าจะน้อยกว่านั้น พอมาทำการเลือกในระดับอำเภอแล้ว อำเภอหนึ่งแต่ละกลุ่มมีผู้ได้รับเลือกคะแนนสูงสุด 3 คน 1 อำเภอ 20 กลุ่มก็เป็น 60 คน ในบรรดา อำเภอทั่วประเทศ 928 อำเภอ เอามาคูณกันแล้วไม่ต้องใช้เครื่องคิดเลข ประมาณ 55,680 คน ตัวเลขคาดว่าจะได้จากการเลือก สว.ระดับอำเภอ 55,680 คน จะเข้าสู่กระบวนการเลือกระดับจังหวัด ผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุด 2 คน เป็นตัวแทนของจังหวัด ในเมื่อมี 20 กลุ่ม กลุ่มละ 2 คน ผ่านระดับจังหวัดมี 3,080 คน พอถึงระดับประเทศเหลือ 10 กลุ่ม เป็นต้น

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
bangkokbiznews.com