• “อนุทิน ชาญวีรกูล”หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พูดถึงสเปคของกรรมการบริหารชุดใหม่ มีคีย์เวิร์ดสำคัญอยู่ตรงที่ “อยากได้คนรุ่นใหม่ให้มากขึ้น เท่าที่จะทำได้”
  • สัญญาณของค่ายสีน้ำเงิน ที่กำลังก้าวเข้าสู่ช่วงผลัดใบเป็นทายาทการเมืองรุ่นใหม่ โดยเฉพาะชื่อของ “ไชยชนก” ที่จะถือเป็นทายาทรุ่น 3 ในตระกูลชิดชอบ
  • “เนวิน” ออกแรงปั้น “นก-ไชยชนก” ลงสมัคร สส.บุรีรัมย์ หวังสร้างรากฐานไปถึงตำแหน่งเสนาบดีในอนาคต

ผลจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 17 ม.ค.2567 ที่ผ่านมา มีมติ 7 ต่อ 1 ให้ความเป็นรัฐมนตรีของ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ จากกรณีถือหุ้น หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ในวันที่รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการคมนาคม

คล้อยหลังไม่กี่ชั่วโมงถัดมา “ศักดิ์สยาม”ตัดสินใจยื่นใบลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย และสส.บัญชีรายชื่อ ด้วยเหตุผลเพื่อแสดงความรับผิดชอบ จนถึงเวลานี้ “ค่ายสีน้ำเงิน” ได้ว่างเว้นตำแหน่งพ่อบ้านพรรค มาเกือบ 2 เดือน

โฟกัสการเมืองจับจ้องไปยังพรรคภูมิใจไทย ในการ “ปรับทัพครั้งใหญ่” รับฉากทัศน์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ เพราะผลจากคดีถือหุ้นของ“ศักดิ์สยาม” นอกจากจะทำให้ต้องรอเวลาอีก 2 ปี นับจากวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย จึงจะมีสิทธิ์กลับมาเป็นรัฐมนตรีได้อีกครั้ง ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 160 (8)

ยิ่งไปกว่านั้น วิบากกรรมถือหุ้นที่ศักดิ์สยามกำลังเผชิญ อาจไม่ได้จบลงเฉพาะตัวบุคคลแต่เพียงเท่านั้น เวลานี้ยังมีดาบสอง ซึ่งถูกยื่น “ยุบพรรค” ตามมาตรา 72 ของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง ในกรณีศักดิ์สยามเคยบริจาคเงินให้พรรค ค้างอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)

วันก่อน “อิทธิพร บุญประคอง” ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (ประธาน กกต.) เปิดเผยความคืบหน้าเรื่องนี้ว่า อยู่ระหว่างการพิจารณาของนายทะเบียนพรรคการเมือง คือ เลขาธิการ กกต.ว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องที่มีอยู่ จะถือได้ว่ามีมูลหรือไม่ ถ้าเห็นว่ามีมูล ก็ต้องสั่งตั้งคณะตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อพิจารณาเสนอความเห็น ถ้าเห็นว่ามีมูลที่จะต้องดำเนินการต่อไป อย่างไร ก็ต้องเสนอกกต.

‘บุรีรัมย์โมเดล’ ส่งต่อมรดก ‘ชิดชอบ’ โจทย์ใหญ่ต้านกระแส ‘แดง-ส้ม’

 แม้กระบวนการในการ “ชี้ผิด-ชี้ถูก” คดียุบพรรค อาจยังเหลืออีกหลายด่านหลายขั้นตอนที่ต้องรอลุ้น เผลอๆ อาจล่วงเลยเป็นปี

แต่แน่นอนว่า “บิ๊กเนมสีน้ำเงิน” ย่อมอ่านเกมยาว เตรียมพร้อมไปถึงฉากทัศน์ที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่า “บวก” หรือ “ลบ” โดยเฉพาะอย่างหลังที่จะเป็นตัวชี้ชะตาอนาคตการเมือง “10 กรรมการบริหารพรรค”

ดังนั้น จึงน่าสนใจว่าการส่งต่อมรดกการเมือง ดันเจนใหม่ขึ้นแท่น “คีย์แมน” จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในการประชุมใหญ่พรรคในวันที่ 24 มี.ค.นี้

โดยเฉพาะตำแหน่งเลขาธิการพรรค โควตาของตระกูลชิดชอบ ที่“ศักดิ์สยาม”เคยครอบครอง

ก่อนหน้านี้ เริ่มปรากฎชื่อแคนดิเดต ทั้งกลุ่มทายาทการเมือง และสายนายทุน ไม่ว่าจะเป็น “ไชยชนก ชิดชอบ” สส.บุรีรัมย์ ลูกไม้ใต้ต้น “เนวิน ชิดชอบ” ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สายรัชกิจประการ ทั้ง “พิทักษ์ รัชกิจประการ” ประธานกรรมการบริษัท บริษัท จีเอฟเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ “พิบูลย์ รัชกิจประการ” สส.สตูล คนใดคนหนึ่ง

หรือแม้แต่ มท.2 “ทรงศักดิ์ ทองศรี” เพื่อนรักนายใหญ่บุรีรัมย์ รองหัวหน้าพรรค ที่เวลานี้ควบตำแหน่งเหรัญญิกพรรค

 “อนุทิน ชาญวีรกูล”หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เพิ่งส่งสัญญาณ ระหว่างลงพื้นที่ จ.ศรีษะเกษ วันก่อน โดยพูดถึงสเปคของกรรมการบริหารชุดใหม่ มีคีย์เวิร์ดสำคัญอยู่ตรงที่ “อยากได้คนรุ่นใหม่ให้มากขึ้น เท่าที่จะทำได้”

พร้อมทั้งตอบคำถามสื่อถึงตำแหน่งเลขาธิการพรรค จะเป็นชื่อของ “ไชยชนก” หรือไม่ ซึ่งอนุทินไม่ปฏิเสธ และบอกเพียงว่า ขึ้นอยู่กับที่ประชุม

ท่าทีหัวหน้าพรรคภูมิใจได้ ย่อมเป็นสัญญาณของค่ายสีน้ำเงิน ที่กำลังก้าวเข้าสู่ช่วงผลัดใบเป็นทายาทการเมืองรุ่นใหม่ โดยเฉพาะชื่อของ “ไชยชนก” ที่จะถือเป็นทายาทรุ่น 3 ในตระกูลชิดชอบ ที่ส่งต่อรุ่นต่อรุ่น ตั้งแต่ “ชัย ชิดชอบ” อดีตประธานสภาฯ ผู้เป็นปู่จนมาถึง “เนวิน”ผู้เป็นพ่อ

‘บุรีรัมย์โมเดล’ ส่งต่อมรดก ‘ชิดชอบ’ โจทย์ใหญ่ต้านกระแส ‘แดง-ส้ม’

การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา “เนวิน” ออกแรงปั้น “นก-ไชยชนก” ลงสมัคร สส.บุรีรัมย์ หวังสร้างรากฐานไปถึงตำแหน่งเสนาบดีในอนาคต ทว่าการฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาลเศรษฐา เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ “ศักดิ์สยาม” อยู่ในช่วงอุบัติเหตุการเมือง ถูกศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่

ขณะที่ “ไชยชนก” ติดปัญหาเรื่องคุณสมบัติ ตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากอายุไม่ถึง 35 ปี ทำให้โควตารัฐมนตรีในตระกูลชิดชอบ คือ รมว.ศึกษาธิการ ตกเป็นของอา พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ น้องชายของเนวินอีกคน รับบท “ครูอุ้ม”แทน

‘บุรีรัมย์โมเดล’ ส่งต่อมรดก ‘ชิดชอบ’ โจทย์ใหญ่ต้านกระแส ‘แดง-ส้ม’

ในยุคทายาทรุ่น 3 ของ“บุรีรัมย์โมเดล” นอกเหนือจาก “ไชยชนก” ที่เวลานี้ตีตั๋วเข้าสภาในฐานะผู้แทนเมืองปราสาทหินแล้ว อีกทั้ง ก.ค.2567 นี้ จะครบเกณฑ์อายุ 35 ปี ตามคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี ยังต้องจับตาไปที่ทายาทแถว 3 สายบ้านใหญ่-นายทุนสายต่างๆ ซึ่งอาจจะได้เห็นโฉมหน้าในวันที่ 24 มี.ค.นี้

ทิศทางของพรรค “ภูมิใจไทย” ถึงที่สุด อาจไม่ได้มีแค่การ “ปรับทัพ” รองรับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นเท่านั้น

แต่ยังรวมไปถึงการเตรียมทัพ ปรับยุทธศาสตร์ ในสมรภูมิเลือกตั้ง ทั้งท้องถิ่นและระดับชาติ

โดยเฉพาะบุรีรัมย์ เมืองหลวงสีน้ำเงิน แม้เลือกตั้งใหญ่รอบที่ผ่านมา จะกวาด สส.เขตยกจังหวัด แต่คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ กลับถูกพลังสีส้ม สีแดง แผ่ปกคลุมทั้ง 10 เขต อย่างน่าวิตก

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
bangkokbiznews.com